หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

"กำแพงเมืองน่าน"


               กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับ โบราณคดีน่ารู้ ค่าาาา ^^  วันนี้จะพาเพื่อนๆไปแอ่วเหนือกันอีกครั้งนะเจ้า  แต่ครั้งนี้จะพาเพื่อนๆไปที่ไหนนั้น  อย่ารอช้า... ไปกันเล้ยยย!!!

ที่มา : https://www.google.co.th/search?biw=1366&bih=662&tbm=i

           ... เมืองน่านเป็นเมืองร่วมสมัยกับอาณาจักรสุโขทัยและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดฉันเครือญาติกับสุโขทัย  ดังที่ปรากฏหลักฐานจากเอกสาร พงศาวดาร  จารึก  โบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ โดยในด้านโบราณสถานนั้นก็มีสถานที่ที่มีความสำคัญทางโบราณคดีอยู่มากมาย ดังนั้นในวันนี้โบราณคดีน่ารู้ก็จะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับสถานที่ที่มีความสำคัญกับเมืองน่านและยังมีความสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบัน นั่นก็คือ "กำแพงเมืองน่าน" นั่นเองค่ะ


ที่มา : http://tis.dasta.or.th/dasta_survey/public/tourist/detail/4265.php

               ความเป็นมา
               กำแพงเมืองน่าน เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองน่าน สร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันศัตรู นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่ตัวเมือง
               สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้างัวผาสุม เมื่อ พ.ศ.1969 ต่อมา พ.ศ.2060 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่เนื่องจากแม่น้ำน่านเปลี่ยนเส้นทาง เจ้าสุมนเทวราชจึงโปรดให้ย้ายเมืองไปตั้งที่บริเวณพระเนตรช้าง (บ้านพระเนตรในปัจจุบัน) โดยแต่เดิมเมืองน่านมีกำแพงเมืองสร้างด้วยคันดิน ดังที่กล่าวว่าคูน้ำ คันดิน ที่ปรากฏบริเวณคูเมือง บริเวณวัดพญาวัด ต่อมาเมื่อเจ้าอนันตรวฤทธิเดชเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน ท่านได้ขอพระราชทานอนุญาตจากรัชกาลที่ 4 ย้ายเมืองน่านกลับมาตำแหน่งเดิม ซึ่งก็คือเมืองน่านในปัจจุบันแล้วสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ตามแนวเดิมและก่อรัฐขึ้น



            ลักษณะและส่วนประกอบต่างๆ
             ตัวเมืองที่สร้างในครั้งนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูน ซุ้มประตูเป็นทรงเรือนยอด ตัวประตูเป็นไม้ มีการเปิด-ปิดตลอดเวลา โดยมีนายประตูเป็นผู้รักษาอาชญาและมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ปืนป่ายกำแพงหรือรื้อ ทำลายกำแพงเมือง อาชญานี้ยกเลิกไปเมื่อเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชเป็นเจ้านครน่าน  ซึ่งกำแพงเมืองที่ส้รางขึ้นมีประตู 4 ทิศ ดังนี้


ที่มา :http://tis.dasta.or.th/dasta_survey/public/tourist/detail/4265.php


              ทิศตะวันออก :  มีประตูชัยซึ่งเป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายฝ่ายในใช้ในการเสด็จล่องชลมารคสู้รัตนโกสินทร์ และประตูน้ำเข้มเป็นประตูท่าน้ำสำหรับใช้ติดต่อค้าขายและเข้าออกสู่เเม่น้ำน่านสำหรับประชาชนทั่วไป ต่อมาในสมัยพระเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้านครน่านองค์สุดท้ายได้โปรดให้รื้อแนวกำแพงด้านตะวันออก เพื่อนำอิฐบางส่วนไปสร้างสะพานกรุงศรีทอดข้ามเเม่น้ำน่านเก่าในปี พ.ศ.2473 และยังมีการตัดถนนสุมนเทวราชขึ้นไปตามแนวของกำแพงเมืองด้านตะวันออกในสมัยต่อมา

              ทิศเหนือ  : ประกอบด้วยประตูริมหรือประตูอุญญาณ แต่เดิมมีเพียงประตูเดียว แต่ต่อมาในปีพ.ศ.2450 ได้มีการเจาะประตูเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง คือประตูอมร อยู่ใกล้ตำแหน่งสี่แยกอมรศรีเพื่อให้พระยาอมรฤทธิดำรง ข้าหลวงประจำเมืองในสมัยนั้นเดินเข้าออก

              ทิศตะวันตก : มีประตูปล่องน้ำซึ่งเป็นประตูที่ใช้ในการระบายน้ำจากบริเวณภายในตัวเมืองด้านเหนือซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำ ออกสู่คูเมืองด้านนอก ประตูดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บริเวณถนนมหาวงศ์ตรงจุดที่ปรากฏซากกำแพงซึ่งเหลืออยู่ในปัจจุบันเพียง 50 เมตรเท่านั้น

             ทิศใต้ : มีประตูเชียงใหม่และประตูท่าลี่สำหรับให้ราษฎรที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองไปมาหาสู่กัน


           ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
           ปรากฏหลักฐานกำแพงก่ออิฐสี่เหลี่ยมและอิฐบัว แนวกำแพงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่าน ความสูงจากระดับพื้นดินปกติวึ่งเป็นส่วนฐานของกำแพงถึงพื้นเชิงเทินสูงประมาณ 3.80 เมตร กำแพงกว้าง 3.50 เมตร เชิงเทินมีขนาดกว้าง 2.20 เมตร ทอดยาวไปตามแนวความยาวของแนวกำแพง   เหนือเชิงเทินประดับด้วยกำแพงในเสมา คาดด้วยเส้นลวด 2 ชั้น ความสูงประมาณ 1 เมตร  เหนือแนวกำแพงเป็นรูปในเสมารูปสี่เหลี่มตัดมุมบน 60 องศาทั้งสองด้าน และตรงมุมกำแพงทั้ง 4 ด้านก่อป้อมปละมีปืนประจำป้อม ป้อมละ 4 กระบอก ที่ประตูยังก่อเป็นซุ้มประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง
ที่มา : http://tis.dasta.or.th/dasta_survey/public/tourist/detail/4265.php

          ปัจจุบันกำแพงเมืองน่านที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มีความยาวเพียง 25 เมตร และสูง 5 เมตร เท่านั้น เป็นแนวกำแพงด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ บริเวณถนนมหาวงศ์เชื่อมต่อกับถนนอนันตวรฤทธิเดช โดยกรมศิลปากรได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์แนวกำแพงดังกล่าวและส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมได้ทั้งสิ้น 415 เมตร เมื่อ พ.ศ.2536 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 61 ตอนที่ 64 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537



                                                                                                          ความสำคัญ
       
ที่มา : http://chiangraiairportthai.com/th/popular-destinations/
     ในอดีตกำแพงเมืองน่านถือเป็นกำแพงที่ใช้ป้องกันศัตรูเข้ามารุกราน และยังสามารถป้องกันภัยธรรมชาตินั่นก็คือน้ำท่วมได้อีกด้วย ถือได้ว่าช่วยสร้างความมั่นคง ความแข็งแรง และความปลอดภัยให้กับรัฐเล็กๆได้เป็นอย่างดี     
         และในปัจจุบันกำแพงเมืองน่านเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของรัฐเล็กๆแห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำน่านที่สามารถปกครองตนเองได้ แม้ต้องยอมอ่อนน้อมต่อหัวเมืองอื่นหลายครั้ง แต่เมืองน่านก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้เป็นอย่างดี



วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

"เวียงกุมกาม" ความงามแห่งล้านนา


              สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะกับ โบราณคดีน่ารู้  ...วันนี้ขอบอกก่อนเลยนะคะว่า เราจะได้ไปย้อนรอยสถานที่ที่มีความสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบันทางภาคเหนือ เป็นสถานที่ที่ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวง ก่อนที่ปัจจุบันจะเป็นเชียงใหม่ ...อดีตเมืองหลวงโบราณที่ถูกลืมของอาณาจักรล้านนา "เวียงกุมกาม"

ที่มา : https://www.google.co.th/search?tbm=isch&sa=1&ei=yZy


ประวัติและความเป็นมา
            เวียงกุมกาม  เกิดขึ้นหลังจากที่พญามังรายได้สถาปนาตนขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของล้านนา พญามังรายได้ขยายขอบเขตของอาณาจักรโดยการยึดเมืองหริภุญไชยในปี พ.ศ.1824 หลังจากนั้นทรงก่อตั้งเวียงกุมกามในระหว่างปี พ.ศ.1829-1838 เพื่อเป็นศูนย์หลางการปกครอง ในระหว่างที่ทรงปกครองเวียงกุมกามนั้น พระองค์ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมป์ภกและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุข
             นอกจากนี้ พญามังรายยังทรงทำการติดต่อค้าขายกับแคว้นเพื่อนบ้านและบัญญัติกฎหมาย มังรายศาสตร์ ขึ้นเพื่อเป็นแบบแผนในการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้ประชาชนในเวียงกุมกามเริ่มอยู่ดีมีสุขและประสบความสำเร็จในด้านการเพาะปลูก ต่อมาชาวเมืองจึงเริ่มค้าขายกับชุมชนอื่นๆ และเริ่มก่อสร้างวัดเพื่อแสดงถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ที่มา : https://www.prachachat.net/news_detail.

            ต่อมาในปี พ.ศ.1839 พญามังรายได้ก่อตั้งเมืองเชียงใหม่เพื่อเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านนา แต่ก็ยังคงรักษาเวียงกุมกามไว้เป็นอีกเมืองที่มีความสำคัญ ศิลาจารึกหลายชิ้นได้กล่าวถึงเมืองกุมกามว่าเป็นเมืองสำคัญที่เคยมีประชากรเทียบเท่ากับเชียงใหม่

            ความเจริญรุ่งเรืองของเวียงกุมกามต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงช่วงที่แม่น้ำปิงเปลี่ยนสาย แต่อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากการขุดค้นของสำนักศิลปกรที่ 8 ได้แสดงให้เห็นว่า การล่มสลายของเวียงกุมกามไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากน้ำท่วมแต่เกิดขึ้นเพราะภาวะสงครามกับพม่า ทำให้ประชาชนถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลยศึก จึงทำให้เวียงกุมกามเริ่มรกร้าง กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้
           จนในที่สุด การเกิดน้ำท่วมและกระแสของแม่น้ำปิงก็ได้นำเอาดินตะกอนมาทับถมเวียงกุมกามจนทำให้กลายเป็นเมืองโบราณใต้ดินฝังลึกระดับ 1-2 เมตร จากผิวดิน




การขุดค้นพบและการตีความจากหลักฐานที่ขุดค้นพบ

          ในปี พ.ศ.2527 เรื่องราวของเวียงกุมกามก็เริ่มเป็นที่น่าสนใจของนักวิชาการและประชาชนทั่วไป ทำให้หน่วยศิลปปากรที่ 4 ขุดแต่งบูรณะวัดร้าง (วิหารกานโถม ณ วัดช้างค้ำ) และบิเวณโดยรอบเวียงกุมกามอย่างต่อเนื่องจนถึง พ.ศ.2545
          ปัจจุบันเวียงกุมกามได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นสถาานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เพราะเห็นว่าเวียงกุมกามมีความสมบูรณ์และเป็นแหล่งการศึกษาหาความรู้ในเรื่องของสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ตลอดจนสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ




          หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเวียงกุมกาม ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับราชวงศ์กษัตริย์ ตำนานเมือง โบราณวัตถุและซากปรักหักพังของเมือง ส่วนหลักฐานจากการขุดค้นทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่ามีชุมชนโบราณตั้งอยู่ในเขตเวียงกุมกามตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรล้านนา ซึ่งหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบที่วัดช้างถ้ำ เช่น จารึก พระพุทธรูป เครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น หลักฐานเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในสมัยหริภุญไชยและล้านนา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่เคยเป็นชุมชนชายขอบในสมัยหริภุญไชยและมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงสมัยล้านนา




โบราณสถานที่สำคัญ
            จากการสำรวจพบว่ามีมากกว่า 40 แห่ง ทั้งที่เป็นซากโบราณสถาน และเป็นวัดที่มีพระสงฆ์  โบราณสถานที่สำคัญได้แก่ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดช้างค้ำ และซากเจดีย์วัดกุมกาม วัดน้อย วัดปู่เปี้ย วัดธาตุขาว วัดอีค่าง  ซึ่งรูปแบบทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมนี้มีทั้งรูปแบบรุ่นเก่าและสมัยเชียงใหม่รุ่งเรือง ปะปนกันไป


            วัดเจดีย์เหลี่ยม หรือ วัดกู่คำ
            เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเวียงกุมกาม ซึ่งพญามังรายทรงให้ขุดคูเมืองทั้ง 4 ด้าน แล้วนำดินที่ขุดมาทำเป็นอิฐประกิบการใช้ศิลาแลงเพื่อก่อเจดีย์ ลักษณะเจดีย์เป็นเจดีย์กลวงสี่เหลี่ยม ข้างในเจดีย์มีทางเข้าออกได้ มีพระพุทธรูปประดับด้านละ 14 องค์ แต่ละด้านมีซุ้มพระชั้นละ 3 องค์ มี 5 ชั้น รวมทั้งองค์เจดีย์มีพรุพุทธรูป 60 องค์ โดยวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐพระมเหสีพระองค์หนึ่งที่สิ้นชีวิตในเวียงกุมกาม

ที่มา : https://www.google.co.th/search?tbm=isch&sa=1&ei=QIGiW



              วัดช้างค้ำ หรือ วัดกานโถม
              เป็นวัดสำคัญของเวียงกุมกามคู่กับวัดเจดีย์เหลี่ยม  โดยสาเหตุที่ชื่อวัดกานโถมเพราะตั้งชื่อตามนายช่างกานโถมหรือหลานของพญามังราย ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดนี้ พญามังรายได้ทรงโปรดให้มร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อบรรจุพระบรุมธาตุที่ได้จากประเทศลังกา 
              ลักษณะเจดีย์มีฐานกว้าง 12 เมตร สูง 18 เมตร ทำซุ้มคูหา 4 ทิศ ชั้นล่างไว้พระพุทธรูป 4 องค์ ชั้นบนไว้พระพุทธรูปยืน 1 องค์ การซ่อมเจดีย์กานโถมครั้งสุดท้ายอยู่ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ผลของการซ่อมทำให้กลายเป็นศิลปะพม่าซึ่งเป็นเจดีย์รูปช้างค้ำ อันเป็นที่มาของชื่อวัดช้างค้ำ



              วัดอีค่าง
              อยู่ติดกับแนวคูน้ำคันดินด้านทิศตะวันตกของเวียงกุมกาม อยู่ลึกลงไปในผิวดินประมาณ 2 เมตร ประกอบด้วยวิหารและเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันเป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาเต็มรูปแบบ เจดีย์อีค่างนี้จึงอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 ในรัชสมัยของพระเจ้าเมืองแก้ว



                  วัดปู่เปี้ย
                  ตั้งอยู่บริเวณที่เข้าในกันว่าเป็นแนวคูน้ำคันดินบริเวณทางทิศตะวันตกของเวียงกุมกาม อยู่ลึกลงไปจากปัจจุบันประมาณ 2 เมตร ประกอบด้วยวิหารเจดีย์อุโบสถและส่วนประกอบปลีกย่อย เช่น แท่นบูชา ศาลผีเสื้อ ตั้งอยู่ด้านหน้า ส่วนองคืเจดีย์มีลักษณะศิลปกรรมแบบสุโขทัยและล้านนารวมกันคือ มีเรือนธาตุสูงรับองค์ระฆังขนาดเล็ก อายุการสร้างเจดีย์ปู่เปี้ยน่าจะอยู่ราวสมัยรัชสมัยของพญาติโลกราช คือในราว พ.ศ.1988-2068



                    วัดธาตุขาว
                    ตั้งอยู่บริเวณอยู่นอกแนวเมืองเวียงกุมกาม เยื้องออกไปทางทิศตะวันตก อยู่ลึกจากผิวดินปัจจุบันประมาณ 1 เมตร ประกอบด้วยเจดีย์และพระอุโบสถ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์เป็นเจดีย์กลม ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมแบบศิลปะล้านนา อายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ตรงประดิษฐานพระพุทธรูปในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปูนปั้นชำรุดขนาดใหญ่ ฉาบด้วยปูนขาวตกอยู่ สันนิษฐานว่าชื่อของวัดอาจจะเรียกตามลักษณธของพระพุทธรูปนี้




วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

"Homo habilis มนุษย์แห่งเครื่องมือหิน"



           หลังจากที่ก่อนหน้านี้เพื่อนๆได้รู้จักกับแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของประเทศไทยและของโลกไปแล้วถึง 2 แห่ง วันนี้เลยจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับสิ่งที่น่าสนใจซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโบราณคดีเช่นเดียวกัน แต่!! ในครั้งนี้จะไม่ใช่สถานที่หรือวัตถุทางโบราณคดี  ...จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Homo habilis (โฮโม  แฮบิลิส) ซึ่งโฮโม แฮบิลิสนั้นคืออะไร?? มีความสำคัญอย่างไร?? มีความน่าสนใจแค่ไหน??  เราไปเริ่มทำความรู้จักกันเล้ย


 Homo habilis (โฮโม แฮบิลิส)

ใบหน้าโดยประมาณของ Homo habilis
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/Homo_habilis#/media/File:Homo_habilis_-


           Homo habilis (โฮโม แฮบิลิส) เป็นมนุษย์เผ่า Hominini มีอายุอยูในช่วงหิน Gelasian และ Calabrian คือครึ่งแรกของสมัยไพลสโตซีน ประมาณ 2.1-1.5 โดยอาจวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษสาย australopithecine โดย H.habilis มีความหมายว่า มือชำนาญหรือคล่องแคล่ว (ภาษาอังกฤษ : handy man ) เพราะซากดึกดำบรรพ์มักจะพบพร้อมกับเครื่องมือหินแบบ Olduwan
          Homo habilis เป็นมนุษย์สกุล Homo ที่รูปร่างสัณฐานคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบันน้อยที่สุด การจัดอยู่ในสกุลนี้จึงได้สร้างข้อถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากขนาดที่เล็กและลักษณะล้าหลังทำให้ผู้ชำนาญการเสนอว่าควงรกัน H.habilis ออกจากสกุล Homo




การค้นพบ

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/Homo_habilis#/media/

         ในปีค.ศ.1959 ดร.หลุย เอสบี้ ลัคกี้ และภรรยา ได้ค้ยพบกระโหลกศีรษะ กระดูคาง และเครื่องมือหินกรวดที่โอลดูวาย จอร์จ ในประเทศแทนซาเนีย แอฟริกาตะวันออก โดยได้รับการตั้งชื่อว่า Zinjanthropus Boisei หรือ มนุษย์โอลดูวาย ( Oldoway man ) มีอายุประมาณ 1,750,000 ปีมาแล้ว

         และต่อมาในปี ค.ศ.1964 ดร.ลัคกี้และภรรยา ก็ได้ค้นพบซากกระดูกเพิ่มอีกที่โอลดูวาย จอร์จ ที่เดิม มีอายุประมาณ 2 ล้านปี เรียกว่า "Homo habilis" ( โฮโม แฮบิลิส ) กระดูกที่พบมีกระดูกหน้าแข้ง  กระดูกน่อง  กระดูกเชิงกราน  ฟัน  และบางชิ้นของหัวกระโหลก มีความสูงประมาณ 4 ฟุต พบสิ่งประดิษฐ์และเครื่องมือที่
 ทำด้วยกระดูกแท้ๆสำหรับตัดและขัดถู

        โฮโมแฮบิลิสคงอยู่สืบมาเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของมนุษย์และยังเป็นช่วงแห่งวิวัฒนาการจากการบริโภคผักหญ้าเป็นอาหารไปสู่การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารซึ่งเป็นขึ้นตอนสำคัญของวิวัฒนาการทางกายภาพและวัฒนธรรมของมนุษย์



การตีความจากหลักฐานที่พบ

         ในเรื่องของการกินอาหาร คงได้ทราบกันไปอย่างคร่าวๆแล้วว่ามนุษย์ในยุคนี้กินอะไรเป็นอาหาร แต่เราจะมาวิเคราะห์กันอย่างละเอียดค่ะว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นมาจากหลักฐานอะไรบ้าง
         ตามการวิเคราะห์การสึกหรอของเนื้อฟันระดับไมโคร โฮโม แฮบิลิสไม่น่าจะเจาะจงทานอาหารที่เหนียวหรือแข็งมาก ความสึกหรอที่พบโดยเฉลียอยู่ระหว่างสัตว์ที่กินอาหารเหนียวแข็งและที่กินในพืชเป็นอาหาร ข้อมูลเหล่านี้มาจากการวิเคราะห์เปอร์เซ็นต์ของผิวฟันที่มีหลุมรูเล็กๆ ซึ่งก็คือความถี่และความลึกจากความเสียหายต่อฟันเพราะทานอาหารบางอย่าง เป็นวิธีที่ใช้บ่อยและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวบ่งชี้การทานอาหารบางชนิด แสดงให้เห็นว่าโฮโม แฮบิลิสเป็นมนุษย์ที่ทานอาหารทั่วไปโดยอาหารเป็นทั้งพืชและสัตว์


 จากหลักฐานเชื่อว่าโฮโม แฮบิลิสเป็นมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องมือหินแบบ Olduwan เพื่อฆ่าและแล่หนังสัตว์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ล้ำหน้ากว่าเครื่องมืออื่นๆที่เคยใช้มาทั้งหมด ทำให้ได้เปรียบในการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ก่อนหน้านี้ยากเกินไปสำหรับสัตว์วานร  แต่มนุษย์แฮบิลิสจะเป็นมนุษย์สายพันธ์ุแรกที่สามารถใช้เครื่องมือหินหรือไม่ ยังเป็นเรื่องไม่ชัดเจน เพราะแม้แต่ Australopithecus garhi ซึ่งมีอายุประมาณ 2.6 ล้านปีก่อน ก็ยังพบพร้อมเครื่องมือหิน

เครื่องมือหินแบบโอลโดวานประเภทต่างๆ
ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.



ที่มา : https://yimtaan.files.wordpress.com/2015/09/homohabilis.jpg
  ผู้ชำนาญการส่วนใหญ่สมมุติว่าทั้งเชาว์ปัญญาและโครงสร้างทางสังคมของมนุษย์กลุ่มนี้ซับซ้อนกว่าของ auetralopithecine หรือ ลิงชิมแปนซี  โยทั่วไปโฮโม แฮบิลิสใช้เครื่องมือเพื่อหากินซากสัตว์เป็นหลัก เช่น การตัดเนื้อออกจากซากสัตว์  ไม่ใช่เพื่อการป้องกันตัวหรือล่าสัตว์  แต่ถึงแม้ว่ามนุษย์กลุ่มนี้จะมีการใช้เครื่องมือ แต่ก็ยังไม่ชำนาญในเรื่องของการล่าสัตว์เหมือนกับมนุษย์กลุ่มอื่นๆ เพราะหลักฐานดึกดำบรรพ์จำนวนมากแสดงให้เห็นว่า มนุษย์กลุ่มนี้เป็นอาหารของสัตว์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น เสือเขี้ยวดาบ ซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆกับเสือจากัวร์

        มนุษย์กลุ่มนี้อยู่กับไพรเมตคล้ายมนุษย์กลุ่มอื่นๆ แต่อาจเป็นเพราะนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการทานอาหารที่เฉพาะเจาะจงน้อยกว่า แฮบิลิสจึงกลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สปีชีส์ต่างๆจำนวนหนึ่งและอาจยังอยู่ร่วมกันกับโฮโม อิเรคตัส ในแอฟริกาเป็นเวลากว่า 500,000 ปี

        เอาล่ะค่ะ วันนี้เพื่อนๆก็ได้รู้จักกับเจ้ามนุษย์โฮโม แฮบิลิสกันไปแล้ว แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์โฮโม แฮบิลิส หรือออออออ มนุษย์กลุ่มอื่นๆเพิ่มเติม สามารถเข้าไปได้ที่ ได้เลยนะค้าาา



วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

แหล่งโบราณคดี "บ้านเชียง"



สวัสดีค่า  กลับมาพบกันอีกครั้งกับ "โบราณคดีน่ารู้" ...ที่จะพาเพื่อนๆได้ไปรู้จักกับเรื่องราวของโบราณคดีที่น่าสนใจ  โดยวันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับแหล่งโบราณคดีที่ทุกคนคงคุ้นหูกันอยู่บ้างนะคะ เพราะแหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประเทศไทย ต่างประเทศ และที่สำคัญคือ ยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกกกกกกกก!!นั่นก็คือ "แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง"   




           แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นแหล่งอารยธรรมมรดกโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย  
ในฐานะที่เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกการขุดค้นและการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีบ้านเชียงและบริเวณใกล้เคียง นอกจากจะนำมาซึ่งหลักฐานที่แสดงการตั้งถิ่นฐานและอารยธรรมของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว   
ยังทำให้เกิดการพัฒนากระบวนการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีครั้งสำคัญที่สุดของไทยอีกด้วย

ที่มา : http://www.udonthani.com/banchiang.htm
   การค้นพบโบราณวัตถุที่มีความสำคัญทางโบราณคดีในบริเวรหมู่บ้านบ้านเชียงนั้นเริ่มต้นเมื่อประมาณพ.ศ.2500โดยชาวบ้านเชียงได้สังเกตเห็นและสนใจเศษภาชนะดินเผาที่มีลวดลายเขียนสีแดงที่พบอยู่บ่อยๆ เมื่อมีการขุดพื้นดินในบริเวณหมู่บ้านจึงได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่โรงเรียนประชาบาลประจำหมู่บ้านและจัดแสดงให้คนได้เข้าชม


           ต่อมา พ.ศ.2509 สตีเฟน ยัง นักศึกษาวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาศึกษาเรื่องราว วิถีชีวิตของชาวบ้านเชียง จึงได้พบเห็นเศษภาชนะดินเผาเขียนสีกระจายเกลื่อนอยู่ทั่วไปตามผิวดินของหมู่บ้าน จึงได้เก็บไปให้ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร ศึกษาวิเคราะห์และได้ลงความเห็นว่าเป็นเศษภาชนะดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่
          พ.ศ.2510 การศึกษาโบราณคดีบ้านเชียงเริ่มต้นขึ้นอย่่างจริงจังโดยกรมศิลปากรและสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ และแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2535

หลักฐานที่พบ
1.โครงกระดูกมนุษย์
2.กระดูกสัตว์
3.ภาชนะดินเผาลายขูดขีด ลายเชืือกทาบ และลายเขียนสี
4.ลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว
5.เครื่องประดับ เครื่องใช้ ใบหอก และใบขวานสำริด


ที่มา : http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/1_2378.html



ความสำคัญของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง                                                                                               
จากหลักฐานทางโบราณคดีทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนสำคัญของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และวิชาการของมนุษย์ รวมทั้งแสดงหลักฐานของการเกษตรกรรม แหล่งผลิตและการใช้โลหะในภูมิภาค ทำให้ได้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 4,300 ปี ซึ่งร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่พัฒนาแล้วหลายๆด้าน โดยเฉพาะในด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญาอันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและสร้างสังคมวัฒนธรรมได้สืบเนื่องมาเป็นเวลานาน โดยวัฒนธรรมบ้านเชียงได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกร้อยกว่าแห่งเป็นบริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีมาแล้ว

ที่มา : https://www.google.co.th/search?q

ด้วยคุณค่าและความสำคัญของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่ชุมชนในปัจจุบัน บ้านเชียงได้กลายเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะแหล่งมรดกโลกด้านวิชาการ ข้อมูลและโบราณวัตถุจำนวนมหาศาลปัจจุบันชุมชนบ้านเชียงได้มีการขยายตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย จึงต้องเร่งกำหนดขอบพื้นที่ที่ชัดเจนและครอบคลุมเพื่อรักษาแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เพื่ออนุรักษ์แหล่งโบราณคดีที่มีความสำคัญแห่งนี้ไว้ให้เป็นมรดกสืบไป


>>>>เพื่อนๆสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ↴



แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงตั้งอยู่ที่
ตำบล บ้านเชียง อำเภอ หนองหาน จังหวัดอุดรธานี  อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกประมาณ 60 กิโลเมตร









อ้างอิง
       สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ.มรดกในไทย 1 : แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง. ค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561 จาก http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/1_2378.html

      thammasat musume of anthropology.(2560). บ้านเชียง ปฐมบทโบราณคดีไทย. ค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561 จาก http://museum.socanth.tu.ac.th/2017/09/30/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/
       the culture-oriented measures. บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี. ค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561 จาก https://sites.google.com/site/thecultureorientedmeasures/kar-thxng-theiyw-1
       
        


วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

“ปราสาทหินพิมาย”แหล่งโบราณคดีที่ทรงคุณค่า


        สวัสดีค่าาาา เพื่อนๆทุกคน วันนี้จะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับแหล่งโบราณคดีที่ทรงคุณค่าของประเทศไทยของเรา ที่มีอายุถึง 1,000 ปีมาแล้ว O_o  ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชมความงามทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ที่มีความเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีการจัดแสดงชิ้นส่วนจากโบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆให้คนที่สนใจได้ศึกษาอีกด้วย ซึ่งแหล่งโบราณคดีแห่งนั้นก็คือ "อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย" นั่นเองงงงง !!!






       "อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย" หรือที่นิยมเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ปราสาทหินพิมาย" เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย โดยคำว่า พิมาย มาจากคำว่า วิมาย หรือ วิมายปุระ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในจารึกภาษาเขมรบนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาท

       จากหลักฐานศิลาจารึกและหลักฐานทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม บ่งบอกว่าประสาทหินพิมายน่าจะเริ่มสร้างขึ้นราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 โดยรูปแบบทางศิลปกรรมของตัวปราสาทเป็นแบบปาปวนตซึ่งเป็นศิลปะที่รุ่งเรืองในสมัยนั้น และมีลักษณะศิลปกรรมแบบนครวัดซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยต่อมาปะปนอยู่บ้าง และมาต่อเติมอีกครั้งในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้างกล่าวว่าปราสาทหินแห่งนี้สร้างขึ้นเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายานมาโดยตลอดเนื่องจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานนั่นเอง

        ในปี พ.ศ.2479 กรมศิลปากรได้ดำเนินการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมแห่งนี้โดยดำเนินการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทหินพิมาย ซึ่งได้ร่วมมือกับรัฐบาลฝรั่งเศสทำการบูรณะปราสาทอย่างต่อเนื่อง ต่อมากรมศิลปากรได้จัดตั้งอุทยานประวัติศาสตร์พิมายขึ้น


        ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พิมายมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจดังนี้


ที่มา : http://pr.prd.go.th/nakhonratchasima/images/Tourist/pm1.gif
สะพานนาคราช
        เมื่อเข้าไปเยี่ยมชมปราสาทหินพิมายเราจะได้ผ่านส่วนนี้เป็นส่วนแรก เป็นสะพานนาคราชและประติมากรรมรูปสิงห์ ตั้งอยู่ด้านหน้าซุ้มประตูด้านทิศใต้ มีลักษณะเป็นรูปกากบาท ราวสะพานโดยรอบทำเป็นลำตัวพญานาคชูคอแผ่พังพานเป็นนาคเจ็ดเศียร มีลำตัวติดกันเป็นแผ่น หันหน้าออกไปยังเชิงบันไดทั่งสี่ทิศ มีจุดมุ่งหมายในการสร้างเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ ตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาลทั้งในศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู

พลับพลา
        ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้ากำแพงชั้นนอก เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เดิมเรียกว่า "คลังเงิน" สันนิษฐานว่าเป็นที่พักเตรียมพระองค์สำหรับกษัตริย์ หรือเจ้านายชั้นสูง ที่เสด็จมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นสถานที่พักจัดขบวนสิ่งของถวายต่างๆ  จากการขุดแต่งบริเวณนี้่เมื่อปี พ.ศ.2511 พบโบราณวัตถุจำนวนมาก มีทั้งรูปเคารพ เครื่องประดับ และเหรียญสำริด

ปรางค์ประธาน
         ตั้งอยู่กลางลานภายในระเบียงคด เป็นศูนย์กลางของศาสนสถานแห่งนี้ ปรางค์ประธานสร้างด้วยหินทรายสีขาวทั้งองค์ องค์ปรางสูง 28 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัสย่อมุมไม้สิบสองยาวด้านละ 22 เมตร ด้านหน้ามีมณฑปเชื่อมต่อกับองค์ปรางค์โดยมีฉนวนกั้น องค์ปรางค์และมณฑปตั้งอยูบนฐานเดียวกัน ส่วนด้านอื่นๆอีกสามด้านมีมุมยื่นออกไป มีบันไดและประตูขึ้นลงสู่องค์ปรางทั้งสี่ด้าน

ปรงค์พรหมทัต
         ตั้งอยู่ด้านหน้าปรางค์ประธานเยื้องไปทางซ้าย สร้างด้วยศิลาแลง มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม กว้าง 14.50 สูงประมาณ 15 เมตร (เป็นรูปจำลอง) สาเหตุที่เรียกว่าปรางค์พรหมทัตก็เพื่อให้เข้ากับตำนานพื้นเมืองเรื่อง ท้าวพรหมทัตพระเจ้าแผ่นดิน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้เก็บรักษาองค์จริงไว้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย

ที่มา : http://pr.prd.go.th/nakhonratchasima/images/Tourist/pm4.gif









เป็นยังไงกันบ้างคะ หลังจากที่เพื่อนๆได้รู้จักกับแหล่งโบราณคดี "อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย" กันไปแล้ว หากเพื่อนๆอยากรู้จักหรืออยากศึกษาให้มากขึ้น สามารถเข้าไปชมคลิปที่อยู่ด้านล่างได้เลยค่ะ⬇





          หรือถ้าหากเพื่อนๆคนไหนอยากจะไปชมความงามและศึกษาเรื่องราวในอดีตจากสถานที่จริง...ก็สามารถเดินทางไปได้ที่  ตำบลในเมือง  อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยอุทยานประวัติศาสตร์พิมายจะห่างจากตัวจังหวัดนครราชสีมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรเท่านั้นเอง

     
          สำหรับวันนี้หวังว่าเพื่อนๆคงจะได้รับความรู้และรู้สึกสนุกไปกับการศึกษาเรื่องราวของแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอย่าง ปราสาทหินพิมาย กันนะคะ ...ส่วนในครั้งต่อไปจะพาเพื่อนๆไปพบกับเรื่องราวทางโบราณคดีเรื่องใดนั้น ช่วยติดตามกันด้วยน้าาา ^^





เอกสารอ้างอิง

          สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา.อุทยานประวัติศาสตร์ ปราสาทหินพิมาย อ.พิมาย. ค้นเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2561 จาก http://pr.prd.go.th/nakhonratchasima/ewt_news.php?nid=178&filename=index
          paiduaykan.com.ปราสาทหินพิมาย. ค้นเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2561 จาก http://www.paiduaykan.com/76_province/Northeast/nakhonratchasima/Pimai.html
          realitythailand.com.(2561). ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา. ค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2561 จาก http://realitythailand.com/phimai-historical-park-nakhonratchasima/
     
     
     




วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

มาทำความรู้จักกันเถอะ^^


สวัสดีค่าาา~เพื่อนๆทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่"โบราณคดีน่ารู้" ...โลกแห่งโบราณคดี ทั้งโบราณคดีในประเทศไทยและต่างประเทศ "เป็นโลกที่จะทำให้การศึกษาเรื่องโบราณคดีไม่น่าเบื่ออีกต่อไป"