กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับ โบราณคดีน่ารู้ ค่าาาา ^^ วันนี้จะพาเพื่อนๆไปแอ่วเหนือกันอีกครั้งนะเจ้า แต่ครั้งนี้จะพาเพื่อนๆไปที่ไหนนั้น อย่ารอช้า... ไปกันเล้ยยย!!!
![]() |
ที่มา : https://www.google.co.th/search?biw=1366&bih=662&tbm=i |
... เมืองน่านเป็นเมืองร่วมสมัยกับอาณาจักรสุโขทัยและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดฉันเครือญาติกับสุโขทัย ดังที่ปรากฏหลักฐานจากเอกสาร พงศาวดาร จารึก โบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ โดยในด้านโบราณสถานนั้นก็มีสถานที่ที่มีความสำคัญทางโบราณคดีอยู่มากมาย ดังนั้นในวันนี้โบราณคดีน่ารู้ก็จะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับสถานที่ที่มีความสำคัญกับเมืองน่านและยังมีความสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบัน นั่นก็คือ "กำแพงเมืองน่าน" นั่นเองค่ะ
![]() |
ที่มา : http://tis.dasta.or.th/dasta_survey/public/tourist/detail/4265.php |
ความเป็นมา
กำแพงเมืองน่าน เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองน่าน สร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันศัตรู นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่ตัวเมือง
สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้างัวผาสุม เมื่อ พ.ศ.1969 ต่อมา พ.ศ.2060 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่เนื่องจากแม่น้ำน่านเปลี่ยนเส้นทาง เจ้าสุมนเทวราชจึงโปรดให้ย้ายเมืองไปตั้งที่บริเวณพระเนตรช้าง (บ้านพระเนตรในปัจจุบัน) โดยแต่เดิมเมืองน่านมีกำแพงเมืองสร้างด้วยคันดิน ดังที่กล่าวว่าคูน้ำ คันดิน ที่ปรากฏบริเวณคูเมือง บริเวณวัดพญาวัด ต่อมาเมื่อเจ้าอนันตรวฤทธิเดชเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน ท่านได้ขอพระราชทานอนุญาตจากรัชกาลที่ 4 ย้ายเมืองน่านกลับมาตำแหน่งเดิม ซึ่งก็คือเมืองน่านในปัจจุบันแล้วสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ตามแนวเดิมและก่อรัฐขึ้น
ลักษณะและส่วนประกอบต่างๆ
ตัวเมืองที่สร้างในครั้งนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูน ซุ้มประตูเป็นทรงเรือนยอด ตัวประตูเป็นไม้ มีการเปิด-ปิดตลอดเวลา โดยมีนายประตูเป็นผู้รักษาอาชญาและมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ปืนป่ายกำแพงหรือรื้อ ทำลายกำแพงเมือง อาชญานี้ยกเลิกไปเมื่อเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชเป็นเจ้านครน่าน ซึ่งกำแพงเมืองที่ส้รางขึ้นมีประตู 4 ทิศ ดังนี้
![]() |
ที่มา :http://tis.dasta.or.th/dasta_survey/public/tourist/detail/4265.php |
ทิศตะวันออก : มีประตูชัยซึ่งเป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายฝ่ายในใช้ในการเสด็จล่องชลมารคสู้รัตนโกสินทร์ และประตูน้ำเข้มเป็นประตูท่าน้ำสำหรับใช้ติดต่อค้าขายและเข้าออกสู่เเม่น้ำน่านสำหรับประชาชนทั่วไป ต่อมาในสมัยพระเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้านครน่านองค์สุดท้ายได้โปรดให้รื้อแนวกำแพงด้านตะวันออก เพื่อนำอิฐบางส่วนไปสร้างสะพานกรุงศรีทอดข้ามเเม่น้ำน่านเก่าในปี พ.ศ.2473 และยังมีการตัดถนนสุมนเทวราชขึ้นไปตามแนวของกำแพงเมืองด้านตะวันออกในสมัยต่อมา
ทิศเหนือ : ประกอบด้วยประตูริมหรือประตูอุญญาณ แต่เดิมมีเพียงประตูเดียว แต่ต่อมาในปีพ.ศ.2450 ได้มีการเจาะประตูเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง คือประตูอมร อยู่ใกล้ตำแหน่งสี่แยกอมรศรีเพื่อให้พระยาอมรฤทธิดำรง ข้าหลวงประจำเมืองในสมัยนั้นเดินเข้าออก
ทิศตะวันตก : มีประตูปล่องน้ำซึ่งเป็นประตูที่ใช้ในการระบายน้ำจากบริเวณภายในตัวเมืองด้านเหนือซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำ ออกสู่คูเมืองด้านนอก ประตูดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บริเวณถนนมหาวงศ์ตรงจุดที่ปรากฏซากกำแพงซึ่งเหลืออยู่ในปัจจุบันเพียง 50 เมตรเท่านั้น
ทิศใต้ : มีประตูเชียงใหม่และประตูท่าลี่สำหรับให้ราษฎรที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองไปมาหาสู่กัน
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
ปรากฏหลักฐานกำแพงก่ออิฐสี่เหลี่ยมและอิฐบัว แนวกำแพงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่าน ความสูงจากระดับพื้นดินปกติวึ่งเป็นส่วนฐานของกำแพงถึงพื้นเชิงเทินสูงประมาณ 3.80 เมตร กำแพงกว้าง 3.50 เมตร เชิงเทินมีขนาดกว้าง 2.20 เมตร ทอดยาวไปตามแนวความยาวของแนวกำแพง เหนือเชิงเทินประดับด้วยกำแพงในเสมา คาดด้วยเส้นลวด 2 ชั้น ความสูงประมาณ 1 เมตร เหนือแนวกำแพงเป็นรูปในเสมารูปสี่เหลี่มตัดมุมบน 60 องศาทั้งสองด้าน และตรงมุมกำแพงทั้ง 4 ด้านก่อป้อมปละมีปืนประจำป้อม ป้อมละ 4 กระบอก ที่ประตูยังก่อเป็นซุ้มประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง
![]() |
ที่มา : http://tis.dasta.or.th/dasta_survey/public/tourist/detail/4265.php |
ปัจจุบันกำแพงเมืองน่านที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มีความยาวเพียง 25 เมตร และสูง 5 เมตร เท่านั้น เป็นแนวกำแพงด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ บริเวณถนนมหาวงศ์เชื่อมต่อกับถนนอนันตวรฤทธิเดช โดยกรมศิลปากรได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์แนวกำแพงดังกล่าวและส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมได้ทั้งสิ้น 415 เมตร เมื่อ พ.ศ.2536 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 61 ตอนที่ 64 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537
ความสำคัญ
![]() |
ที่มา : http://chiangraiairportthai.com/th/popular-destinations/ |
และในปัจจุบันกำแพงเมืองน่านเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของรัฐเล็กๆแห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำน่านที่สามารถปกครองตนเองได้ แม้ต้องยอมอ่อนน้อมต่อหัวเมืองอื่นหลายครั้ง แต่เมืองน่านก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้เป็นอย่างดี